วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 5

1.           อาชญากรรมคอมพิวเตอร์คืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
หมายถึง การกระทำผิดทาง HYPERLINK "อาญา" อาญาอมในระบบคอมพิวเตอร์ หรือการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อกระทำผิดทางอาญา เช่น ทำลาย เปลี่ยนแปลง หรือขโมยข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น ระบบคอมพิวเตอร์ในที่นี้หมายรวมถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมกับระบบดังกล่าวด้วยสำหรับอาชญากรรมในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เช่น อินเทอร์เน็ต) อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งคือ อาชญากรรมไซเบอร์ (อังกฤษ: Cybercrime)อาชญากรที่ก่ออาชญากรรมประเภทนี้ มักถูกเรียกว่า แครกเกอร์
ตัวอย่าง ขโมยความลับของราชการโดยผ่านแฮกข้อมูลต่างๆ
2.           อธิบายความหมายของ
2.1    Hacker ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เป็นอย่างมาก สามารถถอดหรือเจาะรหัสระบบรักษาความปลอดภัยของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคนอื่นได้ มีวัตถุประสงค์ในการทดสอบขีดความสามารถของตนเอง หรือทำในหน้าที่การงานของตนเอง
2.2Cracker บุกรุกระบบคอมพิวเตอร์คนอื่นโดยผิดกฎหมายเพื่อทำลายหรือเอาข้อมูลไปใช้ส่วนตัวมีความหมายเดียวกับ Hacker แต่ต่างกันที่วัตถุประสงค์ในการ กระทำ
2.3 สแปม คือ การส่งข้อความถึงผู้ที่ไม่ต้องการรับ ก่อให้เกิดความราคาญ ละเมิดสิทธิ ความเป็นส่วนตัว และผิดกฏหมาย
2.4 ม้าโทรจัน เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ทำตัวเหมือนว่าเป็น โปรแกรมธรรมดาทั่ว ๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทาการเรียกขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อ ถูกเรียกขึ้นมาแล้ว ก็จะเริ่มทาลายตามที่โปรแกรมมาทันที มักถูกแนบมากับอีการ์ด อีเมล์ หรือการดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ต
2.5 สปายแวร โปรแกรมที่แอบเข้ามาติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่ผู้ใช้อาจไม่ได้เจตนา เพื่อสร้างความรำคาญให้ผู้ใช้งาน เช่น หน้า Pop Up โฆษณา


3. จงยกตัวอย่างกฎหมาย ICT หรือ พ...คอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง จงอธิบายถึงการกระทำผิดและบทลงโทษ มา 5 ตัวอย่าง
กฏหมาย ICT มีดังนี้
       1. หากเจ้าของระบบหรือข้อมูลไม่อนุญาติ แต่มีผู้แอบเข้าไปใช้ในระบบหรือพื้นที่มีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
2.หากแอบไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น แล้วเอาไปป่าวประกาศให้ผู้อื่นรู้มีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี
3. ข้อมูลของผู้อื่นที่เก็บรักษาเอาไว้อยู่ดีๆ แต่แอบไปล้วงเอาข้อมูลของเค้ามามีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
4. ในกรณีที่ผู้อื่นส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบส่วนตัวผู้ที่ไปดักจับของเค้ามามีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
5.ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นทำงานอยู่ดีๆแต่มีคนไปปรับเปลี่ยนแก้ไขจนผิดเพี้ยนไปจากเดิม หรือเกิดความเสียหายมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
6.ในกรณีที่คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นทำงานอยู่ดีๆ แต่มีผู้มาแพร่ไวรัส โทรจัน เวิร์ม สปายแวร์ต่างๆ จนระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ หรือเกิดความเสียหายมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
7. หากทำผิดในข้อที่ 5 และ 6 แล้ว เกิดเป็นความเสียหายพังพินาศใหญ่โต
โทษดังกล่าวจะเพิ่มเป็นจำคุก 10 ปีขึ้นไป
8. ในกรณีของการส่งข้อมูลหรืออีเมลไปยังบุคคลต่างๆซ้ำๆโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการข้อมูลดังกล่าวเลย จนทำให้เกิดความเบื่อหน่ายรำคาญใจความผิดนี้มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
9. การโกหก หลอกลวง ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ รวมไปถึงการท้าทายอำนาจรัฐมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
10. ผู้ที่เป็นเจ้าของเว็ปไซต์ หากยอมให้เกิดหรือปล่อยให้เผยแพร่ข้อมูลที่มีความผิด ตาม7 ข้อ8 และข้อ 9 ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกันมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

บทที่ 4

บทที่ 4
1.ข้อดี-ข้อเสีย ของสื่อกลางประเภทมีสายแต่ละประเภท มีดังนี้
-สายทองแดงแบบไม่หุ้มฉนวน (Unshield Twisted Pair)

ข้อดีของสาย UTP
ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ำหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสียของสาย UTP
ไม่เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกลมากเพราะสัญญาณที่วิ่งบนสายจะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย(มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร)










-สายทองแดงแบบหุ้มฉนวน (Shield Twisted Pair)

ข้อดีของสาย STP
ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า UTP 
- ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุ
 
ข้อเสียของสาย
STP 
- มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก 
- ราคาแพงกว่าสาย
UTP
-สายโคแอกเชียล (Coaxial)


ข้อดี
-ราคาถูก
-มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
-ติดตั้งง่ายและมีน้ำหนักเบา
ข้อเสีย
-ถูกรบกวนจากสัญญาณภายนอกได้ง่าย
-ระยะทางจำกัด
ใยแก้วนำแสง (Optic Fiber)

ข้อดี
-รองรับย่านความถี่ได้สูง (High Bandwidth)
-การลดทอนของสัญญาณต่ำ (Low Noise)
-การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวน (Noise Immunity)
-เล็ก (Small Size)
-น้ำหนักเบา (Light Weight)
-ปลอดภัยจากไฟฟ้าลัดวงจร (No Short Circuit, No Spark or Fire Hazard)
-ความปลอดภัยในการส่งข้อมูล (Transmission Security)
-การปรับตัวเพื่อใช้งานในระบบ (Topology Compatibility)
ข้อเสีย
-ราคาแพง (High Cost)
-ติดตั้งต่อสายยุ่งยาก (Difficulty Taps)
-มีความไม่เชื่อถือจากผู้ใช้เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ (Fear of new technology)

ประโยชน์ของการนำระบบเครื่องข่ายมาใช้ในองค์กร
-สะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
-ได้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน
-ใช้โปรแกรมในการทำงานร่วมกัน
-ทำงานประสานกันเป็นทีม
-ติดต่อสื่อสารได้สะดวกรวดเร็ว
-เรียกข้อมูลจากที่พักอาศัยได้

หากนำระบบเครือข่ายมาใช้ในองค์กร


จะเลือกแบบ Client-server เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีฐานะการทำงานที่เหมือน ๆ กัน เท่าเทียมกันภายในระบบเครือข่าย แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นเครื่อง Server ที่ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับ เครื่อง Client หรือเครื่องที่ขอใช้บริการ ซึ่งอาจจะต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง ถึงจะทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ข้อดีของระบบเครือข่าย Client – Serverเป็นระบบที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงกว่า ระบบแบบ Peer To Peer เพราะว่าการจัดการในด้านรักษาความปลอดภัยนั้น จะทำกันบนเครื่อง Server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ดูแลรักษาง่าย และสะดวก มีการกำหนดสิทธิการเข้าใช้ทรัพยากรต่าง ๆให้กับเครื่องผู้ขอใช้บริการ หรือเครื่อง Client

อินเตอร์เน็ตมีข้อดีต่อการศึกษา คือ
สามารถให้ผูเรียนติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและสามารถสืบค้นหรือเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศจากทั่วโลกจึงทำให้เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัย การประยุกต์ใช้อินเตอร์เน็ตกับกิจกรรมตามหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะในด้าน
-การคิดอย่างมีระบบ (High-Order Thinking Skills)
-การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking)
-การวิเคราะห์สืบค้น (Inquiry-Based Analytical Skill)
การวิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหา และการคิดอย่างอิสระเป็นการสนับสนุนกระบวนการสหสาขาวิชาการ (Interdisciplinary) คือ การนำเครือข่ายมาเชื่อมโยงกับกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น ผู้ที่ศึกษาสามารถที่จะบูรณาการการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ เข้าด้วยกัน เมื่อนำอินเตอร์เน็ตมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาก็จะทำให้เกิดประโยชน์และสร้างความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาได้มากยิ่งขึ้น

บทที่ 3





บทที่ 3
1.           ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเลคทรอนิคส์แบ่งได้ 3 วิธี คือ                                                         1.1 ขั้นเตรียมข้อมูล (input) เป็นการจัดเตรียมข้อมูลที่ให้สะดวกต่อการประมวลผลมี 4 วิธี
                  -การลงรหัส
                  -การตรวจสอบ
                  -การจำแนก
                  -การบันทึกข้อมูลลงสื่อ

          1.2 ขั้นตอนการประมวลผล (Processing) คือ เป็นการนำเอาโปรแกรมที่เขียนขึ้น มาใช้เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ได้เตรียมไว้และข้อมูลยังคงเก็บอยู่ใน คอมพิวเตอร์ ซึ่งป็นวิธีการผลิตสารสนเทศต่างๆ เช่น
                -การคำนวณ
                -การเรียงลำดับข้อมูล
                -การสรุป
                -การเปรียบเทียบ

           1.3 ขั้นตอนการแสดงผลลัพธ์ (Output) เป็นขั้นตอนการเผยแพร่สารสนเทศให้กับผู้ใช้ในรูปแบบต่างๆอาจอยู่ในรูปแบบเอกสาร รายงาน การนำเสนอบนจอภาพ โดยการใช้คอมพิวเตอร์

2. จงเรียงลำดับโครงสร้างข้อมูลจากขนาดเล็กไปใหญ่ พร้อมอธิบายความหมายของโครงสร้างข้อมูลแต่ละแบบ
1.           บิต (Bit) เป็นหน่วยข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งเป็นข้อมูลเลขฐาน 2 คือ 0,1
2.           ไบต์ (Byte) เรียกว่า ตัวอักขระ ,ตัวอักษร คือการนำบิตมารวมกัน
3.           ฟิลด์ (Flied) คือ การนำไบต์หลายๆไบต์รวมกันเป็น เรียกว่าเขตข้อมูล
4.           เรคคอร์ด (Record) คือ การนำเอาฟิลด์หลายๆฟิลด์มารวมกัน เรียกว่าระเบียน
5.           ไฟล์ (Flies) คือ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน เรียกว่า แฟ้มข้อมูล
6.           ฐานข้อมูล (Database) คือ การนำไฟล์หลายๆ ไฟล์มารวมกัน เรียกว่าฐานข้อมูล

3. หากนำเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในหน่วยงานที่นักศึกษาทำงานอยู่ สามารถมีระบบใดบ้าง และระบบฐานข้อมูลนั้นมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร
     -รูปแบบของระบบฐานข้อมูล มีอยู่ 3 แบบ คือ
     1. แบบจำลองฐานข้อมูลลำดับชั้น (Hierarchical Database Model)
     2. แบบจำลองฐานข้อมูลเครือข่าย (Network Database Model)
     3. แบบจำลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model)
     - ระบบฐานข้อมูลนั้นมีประโยชน์ต่อองค์กรคือ
     1. ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลสามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน
     2. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล
     3. รักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
     4. กำหนดระบบรักษาความปลอดภัย,กำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้
     5. เกิดความอิสระของข้อมูล 

4. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการประมวลผลข้อมูลแบบแบชและแบบเรียลไทม์
1.           การประมวลผลแบบแบช (Batch  Processing)   คือ การประมวลผลข้อมูลที่ได้ทำการเก็บรวบรวมไว้เป็นชุดข้อมูล  แล้วจึงนำส่งข้อมูลเหล่านั้นไปทำการประมวลผลข้อมูลพร้อมกันทั้งหมดทีเดียวซึ่งระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้เพื่อรอการประมวลผล  อาจจะเป็นรายวัน  รายสัปดาห์  รายเดือน  หรือรายปี  เป็นต้น  เช่นการประมวลผลการเสียภาษีประจำปี   การคิดดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร
2.           การประมวลผลแบบเรียลไทม์  (Real - Time Processing)  คือ  การประมวลผลทันทีทุกครั้งที่มีการส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบ  บางทีอาจจะเรียกว่า  การประมวลผลแบบ Transaction  Processing   เช่น  ระบบเงินฝาก  -  ถอนเงินด้วย ATM  ของธนาคาร  ระบบสำรองที่นั่งในเครื่องบิน  ระบบการตัดยอดสินค้าคงคลังทุกครั้งที่มีการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า  เป็นต้น
        การประมวลผลข้อมูลทั้งสองวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานของระบบว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดที่จะต้องทำการประมวลผลทันทีหรือสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลไว้เป็นกลุ่มก่อนแล้วจึงทำการประมวลผลพร้อมกันทีเดียว  เช่น  การประมวลผลการเสียภาษี  จะทำการประมวลผล 1  ปีต่อครั้ง  เนื่องจากการคิดภาษีเป็นการคิดจากรายได้ตลอดปี แต่การตัดยอดบัญชีเงินฝากของลูกค้าจำเป็นที่จะต้องทำการประมวลผลทันทีทุกครั้งที่มีการฝากหรือถอนเงิน  เพื่อทราบยอดคงเหลือที่ลูกค้ามีอยู่   ปัจจุบัน  เป็นต้น


นาย ธนากร ปุมสันเทียะ 54243269246

บทที่ 2

บทที่ 2
1.จงอธิบายความหมาย พร้อมยกตัวอย่างของคำดังต่อไปนี
1.1ฮาร์ดแวร์ (Hardware)หมายถึง เป็น ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หมายถึง ส่วนที่เป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบขึ้นมาใช้งานได้ ซึ่งสามารถแบ่งส่วนประกอบได้ 3 ส่วนที่สาคัญ คือ
· อุปกรณ์รับข้อมูลเป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่ในการรับข้อมูลเข้าไปสู่หน่วยประมวลผลกลาง ผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลคาสั่งต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ เหล่านี้เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ ได้แก่
-แป้นพิมพ์ (Keyboard)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สาหรับข้อมูลที่สามารถพิมพ์หรือเคาะได้ เช่น ตัวเลข ตัวอักษร เป็นต้น แป้นพิมพ์ถูกออกแบบให้ประกอบด้วยกลุ่มของคีย์ที่มีลักษณะต่างๆ คือ คีย์ตัวอักษร คีย์ตัวเลข คีย์ฟังก์ชั่น
-เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์สาหรับรับข้อมูลจากการชี้ตาแหน่งบนจอภาพอุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสง โดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของตัวชี้บนหน้าจอ นอกจากนี้ยังใช้เมาส์สาหรับการวาดรูป การเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจทาให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว
· อุปกรณ์ของหน่วยประมวลผลการประมวลผลของคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นจากการทางานประสานกันของหน่วยประมวลผลและหน่วยความจาหลักหรือหน่วยความจาภายใน โดยหน่วยประมวลผลจะทาหน้าที่ควบคุมและปฏิบัติการตามขั้นตอนของโปรแกรม ในขณะที่หน่วยความจาจะเป็นที่พักของโปรแกรม ข้อมูลนาเข้า และผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก่อนนาออกไปแสดงทางอุปกรณ์แสดงผล
· อุปกรณ์แสดงผลอุปกรณ์แสดงผล เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รับผลจากการประมวลผลที่เก็บไว้ใหน่วยความจำหลัก ออกแสดงตามลักษณะของอุปกรณ์ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ประเภทที่นิยมใช้ คือ
-จอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่รับสัญญาณจากการ์ดแสดงผล มาแสดงเป็นภาพบน จอภาพ
-เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์โดยผ่านพอร์ตขนานหรือพอร์ต USB เพื่อทาหน้าที่แสดงผลที่ได้จากการ ประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักษร
-ลำโพง เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์ด้วยเสียง ปกติคอมพิวเตอร์สามารถส่งสัญญาณเสียงได้ แต่การแสดงผลลัพธ์ในระบบเสียงในที่นี้หมายถึง เสียงที่เกิดจากการ์ดเสียง ในระบบมัลติมีเดีย ลาโพงที่มาพร้อมกับชุดมัลติมีเดียจะมีลักษณะคล้ายลาโพงทั่วไป หน้าที่หลักคือ เมื่อการ์ดเสียงเปลี่ยนสัญญาณเสียงดิจิตอลให้เป็นกระแสไฟฟ้า ผ่านมายังลำโพงทาให้เกิดการเคลื่อนที่ของแม่เหล็กและเกิดการสั่นสะเทือนของลาโพง มีผลทำให้เกิดเสียงในระดับต่างๆ

1.2ซอฟต์แวร์ (Software)ซอฟท์แวร์ เป็นส่วนของโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง เพื่อที่จะสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานได้ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวอาจจะเขียนอยู่ในรูปของภาษาเครื่องที่จะทำให้เครื่องเข้าใจและทำงานได้โดยตรง
-ซอฟต์แวร์สาหรับงานเฉพาะด้าน เป็น Software ที่ใช้สาหรับงานเฉพาะด้าน เช่น Software สาหรับงานธนาคารการฝากถอนเงิน Software สาหรับงานทะเบียนนักเรียน ซอฟต์แวร์คิดภาษี ซอฟต์แวร์การให้บริการร้าน Seven ฯลฯ
-ซอฟต์แวร์สาหรับงานทั่วไป โดยในซอฟต์แวร์ 1 ตัวมีความสามารถในการทางานได้หลายอย่าง เช่น ซอฟต์แวร์งานด้านเอกสาร (Microsoft Word )มีความสามารถในการสร้างงานเอกสารต่าง ๆ จัดทาเอกสารรายงาน จัดทาแผ่นพับ จัดทาหนังสือเวียน จัดทาสื่อสิ่งพิมพ์

1.3บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์ (Peopleware)หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทางานตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
· ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
· นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทาการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู่เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
· โปรแกรมเมอร์ (Programmer)คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทางานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้
· ผู้ใช้ (User)คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทางานได้ตามที่ต้องการ
·  
· 1.4ข้อมูล (Data) และสารสนเทศ (Information)ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือสาระต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับงานที่ปฏิบัติ อาจเป็นตัวเลขหรือข้อความที่เกิดขึ้นจาก การ ดาเนินงาน หรือที่ได้จากหน่วยงานอื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ ในการตัดสินใจได้ทันที จะนาไปใช้ได้ก็ต่อเมื่อผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว
·  
· 1.5ข้อมูล (Data) และสารสนเทศ (Information)ความหมายของสารสนเทศสารสนเทศ (Information) คือสิ่งที่ได้จากการประมวลผลของข้อมูล เพื่อให้สามารถนามาใช้ประโยชน์ในด้านการวางแผน การพัฒนา การควบคุม และการตัดสินใจ สารสนเทศที่ดีจะต้องมีความถูกต้อง สมบูรณ์ น่าเชื่อถือ มีความทันสมัย โดยมีรูปแบบการนาเสนอที่สวยงาม ชัดเจน น่าสนใจ และเข้าใจได้ง่าย
2.หากนักศึกษาเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังต่อไปนี้ (เลือก 1 ธุรกิจ) จะนำองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ ได้แก่Hardware ,SoftwareและPeoplewareใดมาใช้ในธุรกิจบ้าง เพราะเหตุใดจงอธิบาย
· ร้านอาหาร
· ฮาร์ดแวร์ (Hardware)เป็น ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หมายถึง ส่วนที่เป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบขึ้นมาใช้งานได้
· ซอฟต์แวร์ (Software) ซอฟท์แวร์ เป็นส่วนของโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง เพื่อที่จะสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานได้ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวอาจจะเขียนอยู่ในรูปของภาษาเครื่องที่จะทำให้เครื่องเข้าใจและทำงานได้โดยตรง
· บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์ (Peopleware) บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน                          




3.ให้นักศึกษาแสดงข้อมูล จำนวน 1 ชุด พร้อมทั้งแสดงในรูปแบบของระบบสารสนเทศ

H D A 65-13
RPH A8
CPKN-C1
2010
2.5
3.5
3
2011
2.7
3.7
2.5
2012
3.5
4
3
2013
4
3.5
2.5






                                            แสดงข้อมูลการซ่อมเครื่องจักร 2010-2013